คู่มือ MT4 PC บทที่ 5 : การปรับแต่ง Chart และ Indicators ของ MT 4

วิธีการปรับแต่ง Chart และ Indicators ต่าง ๆ ของ MT4 ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ตามหลักแล้วแค่รู้ว่าเครื่องมืออะไรใช้ยังไงก็ปรับแต่งกราฟของคุณได้ตามใจชอบ สำหรับเครื่องมือสำคัญ ๆ ที่ต้องใช้และวิธีการทำงานก็มีอยู่ไม่กี่อย่างซึ่งเรากำลังจะมาอธิบายกันต่อไปนี้

ประเภทของ Chart ใน MT4

MT4 จะมีตัวเลือกในการปรับแต่ง Chart หรือกราฟอยู่หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของกราฟ กรอบเวลา และยังปรับขนาดของกราฟได้ตามที่ต้องการ แสดงผลกราฟพร้อมกันหลายหน้าต่างได้ด้วยระบบ Multi Charting จึงสะดวกในการเทียบราคาสินทรัพย์หลายแบบพร้อมกัน สำหรับรูปแบบของกราฟก็จะมีทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่

ประเภทของกราฟใน MT4 จะมีอยู่ 3 แบบ ได้แก่ Candlestick chart ที่คล้ายแท่งเทียน, Bar chart ที่คล้ายกิ่งไม้ และ Line chart ที่เป็นเส้นตรงลากต่อกัน

1. กราฟเส้น (Line chart)

กราฟเส้น (Line chart) เป็นกราฟที่จะใช้เส้นตรงลากเชื่อมต่อระหว่างราคาปิดและราคาเปิดของแต่ละกรอบเวลา (Time Frame) แม้จะบอกรายละเอียดได้แค่ราคาปิดและราคาเปิดแต่ก็ถือว่ากราฟเส้นเป็นกราฟที่อ่านได้ง่ายที่สุด เหมาะสำหรับบางกลยุทธ์ที่ต้องการดูข้อมูลแค่ไม่กี่อย่าง และยังใช้ดูเพื่อจับแนวทางของตลาดได้ง่ายอีกด้วย

2. กราฟแท่ง (Bar chart)

กราฟแท่ง (Bar chart) มีลักษณะเป็นแท่งที่มีขีดเล็ก ๆ ยื่นออกมาสองด้าน ใช้ในการบอกราคาของแต่ละกรอบเวลา จุดเด่นของกราฟบาร์จะเป็นการบอกภาพรวมว่าในช่วงเวลานั้นตลาดเป็นขาขึ้นหรือขาลง โดยจะมีวิธีดูกราฟบาร์ดังนี้

  • ด้านบนสุดของแท่งบอกราคาสูงสุด (High)
  • ด้านล่างสุดของแท่งบอกราคาต่ำสุด (Low)
  • ขีดที่ยื่นมาทางซ้ายจะบอกราคาเปิด
  • ขีดที่ยื่นมาทางขวาจะบอกราคาปิด
  • แท่งสีเขียวคือสัญญาณขาขึ้น (Buy)
  • แท่งสีแดงคือสัญญาณขาลง (Sell)

3. กราฟแท่งเทียน (Candlestick chart)

กราฟแท่งเทียน (Candlestick chart) มีลักษณะคล้ายกราฟแท่ง โดยจะมีแท่งหนาซึ่งเรียกว่าตัวเทียน (Body) และเส้นเล็ก ๆ ที่ยื่นออกมาทางด้านบนและด้านล่างเรียกว่าไส้เทียน (Shadow) วิธีอ่านกราฟแท่งเทียนจะดูจากสีก่อนเป็นหลัก

  • แท่งสีเขียวจะมีราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด หมายถึงสัญญาณขาขึ้นหรือเรียกว่าฝั่ง Buy (Bullish)
    • ด้านล่างของตัวเทียนจะเป็นราคาเปิด
    • ด้านบนของตัวเทียนจะเป็นราคาปิด
  • แท่งสีแดงจะมีราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด หมายถึงสัญญาณขาลงหรือเรียกว่าฝั่ง Sell (Bearish)
    • ด้านบนของตัวเทียนจะเป็นราคาเปิด
    • ด้านล่างของตัวเทียนจะเป็นราคาปิด
  • สำหรับไส้เทียนของทั้งสองสีจะมีวิธีอ่านเหมือนกัน
    • ด้านล่างของไส้เทียนจะเป็นราคาต่ำสุด
    • ด้านบนของไส้เทียนจะเป็นราคาสูงสุด

วิธีปรับแต่ง Chart และ Timeframe

การปรับแต่ง Chart และ Timeframe บน MT4 สามารถทำได้ด้วยการกดสัญลักษณ์ต่าง ๆ ที่แถบเมนูด้านบน โดยสัญลักษณ์ที่ 1, 2 และ 3 คือการเปลี่ยนรูปแบบกราฟ สัญลักษณ์ทางด้านซ้ายสุดเรียงมาทางขวาคือกราฟแท่ง (Bar Charts) กราฟแท่งเทียน (Candlesticks) และกราฟเส้น (Line Charts)

การเปลี่ยนรูปแบบของกราฟสามารถทำได้ด้วยการคลิกที่สัญลักษณ์ในแถบเมนูด้านบนโดยสามารถเปลี่ยนได้ 3 แบบคือกราฟบาร์ กราฟแท่งเทียน และกราฟเส้น

สัญลักษณ์ที่ 4 และ 5 คือ Zoom In กับ Zoom Out ที่ใช้เพื่อขยายหรือย่อขนาดขององค์ประกอบภายในกราฟ และสัญลักษณ์ที่ 6 คือ Arrange Windows ใช้เพื่อทำให้หน้าต่างกราฟทั้งหมดแสดงขึ้นมาพร้อมกัน ซึ่งระบบจะเฉลี่ยขนาดของแต่ละหน้าต่างให้เท่ากันโดยอัตโนมัติ

ปุ่ม Zoom in และ Zoom out ใช้สำหรับการขยายและย่อขนาดของกราฟ และปุ่ม Arrange Windows จะใช้สำหรับการแสดงหน้าต่างของกราฟทั้งหมดขึ้นมาพร้อมกัน

สัญลักษณ์ที่ 7 เป็น Auto Scroll เมื่อกดแล้วกราฟจะเลื่อนมาที่ราคาล่าสุดโดยอัตโนมัติตลอดเวลา ถ้าต้องการดูราคาย้อนหลังจะต้องกดปุ่มนี้อีกครั้งเพื่อให้ Auto Scroll ปิดทำงานก่อน ส่วนสัญลักษณ์ถัดไปคือ Shift End ที่กดแล้วจะมีพื้นที่ว่างปรากฏขึ้นมาทางด้านขวาของกราฟ ซึ่งเทรดเดอร์มืออาชีพจะใช้ในการตีเส้นด้านหน้าสำหรับการวิเคราะห์

ปุ่ม Auto Scroll บนแถบเมนูมีเอาไว้เพื่อทำให้กราฟแสดงราคาล่าสุดตลอดเวลา ส่วนปุ่ม Shift End จะใช้เพิ่มช่องว่างทางด้านขวาของกราฟเอาไว้ให้ลากเส้นต่าง ๆ

สัญลักษณ์ถัดมาจะเป็น Periods ซึ่งใช้เพื่อเปลี่ยน Time Frame หรือกรอบเวลาบนกราฟ โดย MT4 จะมีกรอบเวลาให้เลือกได้หลายระดับตั้งแต่

  • M1 = 1 นาที
  • M5 = 5 นาที
  • M15 = 15 นาที
  • M30 = 30 นาที
  • H1 = 1 ชั่วโมง
  • H4 = 4 ชั่วโมง
  • D1 = 1 วัน
  • W1 = 1 สัปดาห์
  • MN = 1 เดือน

Time Frame ถือว่าเป็นส่วนที่มีความสำคัญต่อกราฟโดยตรง ภายใน 1 Time Frame ที่เลือกจะแสดงแท่งกราฟขึ้นมา 1 แท่ง ตัวอย่างเช่น ถ้าเลือก Time Frame เอาไว้เป็น 1 ชั่วโมง แท่งกราฟใหม่ก็จะแสดงเพิ่มขึ้นมาชั่วโมงละ 1 แท่ง เป็นต้น ซึ่งการเลือก Time Frame ก็จะขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด

  • Time Frame แบบ 1 นาทีไปจนถึง 15 นาที เหมาะสำหรับเทรดเดอร์แบบ Scalping
  • Time Frame แบบ 15 นาทีไปจนถึง 1 ชั่วโมง เหมาะสำหรับเทรดเดอร์แบบ Day Trading
  • Time Frame แบบรายวัน รายสัปดาห์ และรายเดือน เหมาะสำหรับเทรดเดอร์แบบ Swing trade หรือ Positional trading

การเปลี่ยน Time Frame สามารถทำได้ด้วยการคลิกที่ปุ่ม Periods ในแถบเมนูด้านบน โดยสามารถเลือกกรอบเวลาได้ตั้งแต่ 1 นาทีไปจนถึง 1 เดือน

สีของเส้นหรือแท่งในกราฟก็เปลี่ยนได้ตามใจชอบด้วยการคลิกขวาที่กราฟแล้วเลือกที่ Properties หรือกดคีย์ลัดเป็นปุ่ม F8 บนคีย์บอร์ด แล้วหน้าต่างตัวเลือกการปรับแต่งสีก็จะปรากฏขึ้นมา

การเปลี่ยนสีขององค์ประกอบภายในกราฟทำได้ 2 วิธีคือการคลิกขวาที่กราฟแล้วเลือกที่ Properties หรือกดคีย์ลัดเป็นปุ่ม F8 บนคีย์บอร์ด จากนั้นก็เลือกปรับแต่งสีหรือเส้นได้ตามใจชอบ

เครื่องมือวาดเส้น: Trend Line, Support/Resistance และ Fibonacci

การวาดเส้นลงบนกราฟก็เป็นวิธีการปรับแต่ง Chart ที่สำคัญ เพราะเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์จะใช้เส้นและสัญลักษณ์ต่าง ๆ เพื่อเป็นแนวทางการวิเคราะห์กราฟ สำหรับตัวเลือกสำคัญที่มักใช้กันบ่อย ๆ จะมีดังนี้

  • สัญลักษณ์ Cursor เป็นการแสดงรูปสัญลักษณ์ของเม้าส์ที่กำลังชี้ให้เป็นรูปลูกศร
  • สัญลักษณ์ Crosshair เป็นการแสดงรูปสัญลักษณ์ของเม้าส์ที่กำลังชี้ให้เป็นเส้นตามแนวแกน X และ แกน Y

ปุ่ม Cursor ใช้เพื่อแสดงรูปสัญลักษณ์ของเม้าส์ที่กำลังชี้ให้เป็นรูปลูกศร ส่วนปุ่ม Crosshair จะใช้เพื่อแสดงรูปสัญลักษณ์ของเม้าส์ที่กำลังชี้ให้เป็นเส้นตามแนวแกน X และ แกน Y

  • สัญลักษณ์ Draw Line ใช้เพื่อวาดเส้นตรงลงบนกราฟ
  • สัญลักษณ์ Draw Channel ใช้เพื่อวาดเส้นตรงคู่ขนานลงบนกราฟ
  • สัญลักษณ์ Draw Fibonacci Retracement ใช้เพื่อวาดเส้นตามสูตร Fibonacci ลงบนกราฟ
  • สัญลักษณ์ Draw Text และ Draw Text Label ใช้เพื่อเขียนตัวอักษรลงบนกราฟ
  • สัญลักษณ์ Arrows ใช้เพื่อสร้างสัญลักษณ์ต่าง ๆ ลงบนกราฟ

การวาดเส้น เพิ่มตัวอักษร หรือใส่สัญลักษณ์ต่าง ๆ ลงบนกราฟสามารถทำได้ด้วยการคลิกที่แถบเมนูด้านบน ซึ่งจะมีตัวเลือกในการปรับแต่งเพิ่มได้หลายอย่าง

นอกจากนี้ก็จะมีสัญลักษณ์ Templates ที่ใช้เพื่อตั้งค่าเทมเพลตของกราฟ ซึ่งสามารถเซฟการตั้งค่าทั้งหมดที่ทำเอาไว้เป็นเทมเพลตเพื่อใช้กับกราฟใหม่ที่เปิดขึ้นมาได้ เมื่อไม่ต้องการเทมเพลตไหนแล้วก็กดลบเทมเพลตได้เช่นกัน

ประเภทของ Indicators มีแบบไหนบ้าง

Indicators คือเครื่องมือในเชิงเทคนิคที่ใช้ในการวิเคราะห์ตัวเลขต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นราคาเปิด, ราคาปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด หรือปริมาณการซื้อขาย เพื่อบ่งบอกสภาวะตลาดว่าควรซื้อขายหรือไม่ โดยจะแยกออกมาได้เป็น 4 ประเภทหลัก ได้แก่

Indicators ของ MT4 จะมีอยู่ 4 ประเภทหลักคืออินดิเคเตอร์บอกแนวโน้ม, อินดิเคเตอร์บอกอัตราการเปลี่ยนแปลง, อินดิเคเตอร์บอกความผันผวน และอินดิเคเตอร์บอกปริมาณการซื้อขาย

1. อินดิเคเตอร์บอกแนวโน้ม (Trend Indicator)

อินดิเคเตอร์บอกแนวโน้มจะเป็นการบ่งบอกแนวโน้มหรือทิศทางของราคาที่น่าจะเป็นด้วยการเปรียบเทียบราคาตามช่วงเวลาต่าง ๆ ตัวอย่างของอินดิเคเตอร์ประเภทนี้ได้แก่

  • Average Directional Movement Index (ADX) ใช้บอกความแข็งแกร่งของแนวโน้มทั้งฝั่ง Buy และ Sell
  • Aroon ใช้บอกความแข็งแกร่งและคำนวณพัฒนาการของแนวโน้มราคา
  • Moving Average Convergence/Divergence (MACD) ใช้บอกการเปลี่ยนแปลงของความแข็งแกร่ง, ทิศทาง, โมเมนตัม และระยะเวลาของแนวโน้มโดยอ้างอิงจากกราฟแบบรายวัน

2. อินดิเคเตอร์บอกอัตราการเปลี่ยนแปลง (Momentum Indicator)

อินดิเคเตอร์บอกอัตราการเปลี่ยนแปลงจะเป็นการบ่งบอกความเร็วในการเคลื่อนไหวของราคา ตัวอย่างของอินดิเคเตอร์ประเภทนี้ได้แก่

  • Relative Strength Index (RSI) ใช้บอกสภาวะการซื้อมากเกินไป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold)
  • Stochastic Oscillator ใช้บอกสภาวะการซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไป

3. อินดิเคเตอร์บอกความผันผวน (Volatility Indicator)

อินดิเคเตอร์บอกความผันผวนจะเป็นการวัดการเปลี่ยนแปลงของราคาตลาดตามช่วงเวลาที่กำหนดเอาไว้ ตัวอย่างของอินดิเคเตอร์ประเภทนี้ได้แก่

  • Average True Range (ATR) ใช้บอกความผันผวนของตลาดแบบแยกช่วงราคาตามเวลาที่กำหนด
  • Bollinger Bands ใช้บอกความผันผวนของตลาดโดยการใช้เส้นสัญญาณ

4. อินดิเคเตอร์บอกปริมาณการซื้อขาย (Volume Indicator)

อินดิเคเตอร์บอกปริมาณการซื้อขายของตลาด Forex อาจจะไม่แม่นยำมากนักถ้าเทียบกับตลาดสินทรัพย์อื่น ๆ อย่างเช่นหุ้นหรือสินค้าโภคภัณฑ์ เพราะ Forex มีปริมาณการซื้อขายต่อวันสูงมาก แต่ก็ยังมีเทรดเดอร์หลายคนนิยมใช้อินดิเคเตอร์บอกปริมาณการซื้อขายควบคู่ไปกับอินดิเคเตอร์อื่น ตัวอย่างของอินดิเคเตอร์ประเภทนี้ได้แก่

On-Balance Volume (OBV) ใช้บอกปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงในแต่ละช่วงเวลา

การเพิ่มและปรับแต่ง Indicators

การเพิ่ม Indicators ต่าง ๆ เข้ามาบนกราฟสามารถทำได้ 3 วิธีหลัก ได้แก่

  1. ไปที่แถบเมนู Insert ทางด้านบนสุดของโปรแกรม > คลิกที่เมนู Indicators > เลือกอินดิเคเตอร์ที่ต้องการ > คลิกที่ OK
  2. คลิกที่สัญลักษณ์ Navigator ทางด้านบน > คลิกที่ Indicators > เลือกอินดิเคเตอร์ที่ต้องการ > ดับเบิลคลิกหรือลากลงไปในกราฟ
  3. คลิกที่สัญลักษณ์ Indicators list ทางด้านบน > เลือกอินดิเคเตอร์ที่ต้องการ > ดับเบิลคลิกหรือลากลงไปในกราฟ

การเพิ่ม Indicators ลงบนกราฟทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการใช้ปุ่ม Insert, การคลิกที่เมนู Navigator และการคลิกที่สัญลักษณ์ Indicators list จากนั้นก็เลือกใส่อินดิเคเตอร์ที่ต้องการได้เลย

อินดิเคเตอร์ที่เลือกขึ้นมาอาจแสดงผลเป็นหน้าต่างแยกมาทางด้านล่าง หรือเส้นของอินดิเคเตอร์อาจซ้อนทับกับกราฟไปเลยก็ได้ ขึ้นอยู่กับวิธีทำงานของอินดิเคเตอร์ตัวนั้น และทุกครั้งที่กราฟแท่งใหม่ถูกเพิ่มขึ้นมาตาม Time Frame ก็จะมีเส้นของอินดิเคเตอร์ถูกคำนวณขึ้นมาใหม่ด้วยพร้อมกัน

ในส่วนของการปรับแต่ง Indicators ก็สามารถทำได้โดยการคลิกขวาที่กราฟ > เลือก Indicators list > เลือกอินดิเคเตอร์ที่ต้องการ > คลิกขวาหรือเลือกที่ Edit เท่านี้หน้าต่างการปรับแต่งอินดิเคเตอร์ก็จะแสดงขึ้นมา

การปรับแต่ง Indicators สามารถทำได้ด้วยการคลิกขวาที่กราฟ เลือกที่ Indicators list จากนั้นก็เลือกอินดิเคเตอร์ที่ต้องการปรับแต่งแล้วคลิกขวาหรือกดปุ่ม Edit

หน้าต่างการปรับแต่งอินดิเคเตอร์จะทำได้ทั้งเปลี่ยนการตั้งค่าคำสั่ง เปลี่ยนสี ปรับขนาด และการปรับเปลี่ยนอื่น ๆ เมื่อเลือกการตั้งค่าอะไรขึ้นมาใช้ เส้นของอินดิเคเตอร์ในกราฟก็จะเปลี่ยนตามทันที หลังจากที่ปรับเปลี่ยนทุกอย่างครบแล้วก็กดเครื่องหมาย x ทางด้านบนเพื่อปิดหน้าต่างการปรับแต่งได้เลย เมื่อต้องการเลิกใช้งานอินดิเคเตอร์ตัวไหนก็คลิกขวาที่อินดิเคเตอร์ตัวนั้นใน Indicators list แล้วเลือกที่ Delete ได้ทันที

บทสรุป: การปรับแต่ง Chart และ Indicators ของ MT 4

การปรับแต่ง Chart และ Indicators ของ MT4 นั้นถือว่าทำได้ง่ายถ้าเทียบกับแพลตฟอร์มการเทรดอื่น ๆ เพราะ Metatrader ถูกพัฒนาขึ้นมาให้เหมาะทั้งสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ การปรับแต่งก็ทำได้หลายรูปแบบเพื่อให้ได้กราฟที่อ่านค่าง่ายที่สุดตามความถนัดของเทรดเดอร์แต่ละคน

Indicators ต่าง ๆ ก็เป็นตัวช่วยวิเคราะห์สภาวะตลาดเพื่อให้ตัดสินใจซื้อขายได้ง่ายขึ้น แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าไม่มีอินดิเคเตอร์ตัวไหนที่แม่นยำ 100% ทุกอย่างเป็นเพียงการวิเคราะห์จากข้อมูลที่ปรากฏขึ้นบนกราฟเท่านั้น เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุนควรใช้อินดิเคเตอร์ประกอบกันหลายตัว และนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ด้วยตัวเองอีกครั้ง

References

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *